..........................

Welcome To Namhom's blog 。◕‿◕。

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
ชื่อ นางสาวมัลลิกา จุฑาสงฆ์ ศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ชั้นปีที่1 อารมณ์ ดี เฮฮา คุยได้ทุกเรื่อง ชอบเรียนวิชาอังกฤษเป็นพิเศษ เพราะทำความเข้าใจได้ง่าย

THiS Is My Group ^^

THiS Is My Group ^^

-ขณะนี้เวลา-

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

"Thank you"

คิดถึงอาจารย์จังค่ะ เกรดออกแระค่ะเนี่ยถ้าไม่มีอิ้งฉุดไว้ หนูคงติดโปรไปแล้ว ขอบคุณอาจารย์มากๆเลยค่ะ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา หนูเจออะไรมาก็เยอะจิงๆ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างบางอย่างเองก็ยังไม่เข้าใจ
หนูอยากถามอาจารย์ว่า เราควรคิดถึงอนาคตของเรา และให้ความสำคัญกับการเรียนมากกว่าสิ่งอื่นใดใช่ไหมค่ะ เพราะเวลาเราพลาดมา เราก็พลาดแค่คนเดียว คนอื่นช่วยเราไม่ได้จิงๆใช่ไหมค่ะ และอีกเรื่องที่อยากจะรู้คือเรื่องเพื่อนค่ะ หนูอยากให้อาจารย์ช่วยตัดสินทีนะค่ะ ว่าหนูผิดมากไหม? เทอม1หนูเรียนตามเพื่อน ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ไม่ดูด้วยซ้ำว่าตัวเองมีพื้นฐานในการเรียนเท่าเพื่อนไหม ตามเค้าไปเรื่อยๆ พอมีกิจกรรมก็เต็มที่กับมันมากๆจนไม่รู้ลิมิตว่าควรหยุดแค่ไหนทำตามเพื่อนเรื่อยๆ เค้าว่าอันไหนดีก็ทำไป พอเกรดตอนเทอม1ครึ่งแรก หนูได้ 1คะแนนวิชาแคล วิชาภาคก็แย่มากๆ แย่ไปซะทุกวิชา หนูมีเพื่อนแค่คนเดียวตอนนั้นที่เข้ามาติว มาช่วยสอน มาทำโปรเจกงานให้ ทำให้เลยนะค่ะ เราช่วยกันติว ช่วยกันจน หนูได้D+วิชาแคล และวิชาภาคก็ได้เกรดB+มา แต่ก็ยังติดโปรสูงอยู่ดี แต่พอเคาปรับเกรดฟิหนูก็พ้นโปรมาได้พอมาเทอม2 หนูเลยหาจุดยืนของตัวเองในการเรียนพักกิจกรรมไปเลยก็ว่าได้ หนูไม่เห็นว่ารุ่นพี่จะช่วยอะไรหนูได้เลย ได้แค่คำพูดที่พูดว่า"สู้ๆนะ ,พยายามนะ" แต่ทำไมไม่มาช่วยสอนช่วยติว แต่พี่ๆเค้าคงมีงานอยู่เหมือนกันอันนี้หนูเข้าใจ แต่พอถึงคราวที่เราแย่มีแค่เราเองจิงๆนะค่ะที่ช่วยตัวเราเองได้ ใช่ไหมค่ะ หนูเลยอยากแค่เรียนจบ ไม่มุ่งกิจกรรมใดๆ แต่กลุ่มของหนูเพื่อนๆเค้าทำกิจกกรรมกัน พอถึงเวลาต้องทำค่ายซึ่งหนูไม่ใช่ว่าไม่อยากนะค่ะ แต่ระบบการบริหารงานมันไม่ค่อยดี เพื่อนบางทีไปกันก็ไม่มีอะไรทำ แล้วเวลาซ้อมค่ายก็ต้องรอให้คนครบก่อนถึงจะซ้อมได้ แต่หนูคิดว่ามันมีหายวิธีมากกว่านั้นในการกระจายข่าว และในการเรียกความสนใจเพื่อนให้มาทำงาน คือตอนนี้ใจหนู1หร่ะไม่อยากทำแล้ว ไม่อยากทำกิจกกรรมแล้ว แต่คือเพื่อนในกลุ่มทำกันทุกคน แต่งานนี้คืองานส่วนรวมใช่ไหมค่ะ เราสามารถเลือกได้ใช่ไหมค่ะ ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าหนูเลือกตามคนส่วนใหญ่หนูจะผิดมากไหมค่ะ คือหนูไม่อยากทำ แต่หนูก็ไปนะค่ะวันจิงหนูไปช่วยเพื่อนทำงาน แต่ก็ไม่ได้ช่วยไรเยอะก็จริงแต่พูดได้เลยว่าทำ ทำในหน้าที่ของตัวเองหนูเปนคนจริงจังและเต็มที่กับงานด้วยซ้ำถ้าใจหนูมาแล้ว แต่หนูไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนหนูต้องมาว่าหนูว่า"เพื่อนก็ทำงานกันเหนื่อยทำไมไม่มาช่วยกันบ้างเลย" แล้วหนูถามเค้ากลับได้ไหมค่ะ ว่างานที่ทำนี้เราทำเพื่อคนอื่น คือหนูทำเพื่อคนอื่นนะค่ะ แต่สิ่งที่หนูเคยทำเพื่อเพื่อนโดยตรงมันมีนะค่ะ เยอะด้วย บางอย่างเพื่อนไม่รู้ด้วยซ้ำ ขอบคุณสักคำยังไม่มี ทั้งๆที่สิ่งที่หนูทำ ทำเพื่อเพื่อนด้วยซ้ำแต่เค้ากลับไม่เคยเห็นค่าของมันเลย อาจารย์ค่ะ กิจกรรมส่วนรวมมันเป็นกิจกรรมที่ทำด้วยใจใช่ไหมค่ะ เวลาเราทำเราก็ทำด้วยใจ เราก็ได้ เราก็สุขใจที่เราได้ทำมัน แต่ถ้าเราทำแล้วมันลำบากมันหนัก แล้วต้องมาบ่นว่าคนนั้นคนนี้ไม่ช่วย แบบนี้มันใช่แล้วหรือค่ะ ที่หนูกล้าพูดเพราะหนูเคยทำกิจจกรรมเพื่อส่วนรวมมาแล้ว หนูทำค่ายสร้างโรงเรียนให้เด็กกะเหรียงที่มีสัญชาติไทย แต่อาศัยอยู่ที่ตะเข็บชายแดน โดยมีพระอาจารย์เป็นผุ้นำขบวนพวกเราไป พวกเราต้องข้ามเขา3ลูกใช้เวลา3วันในการเดินทางไปถึงค่ำไหนนอนนั้น บนหลังของทุกคนต้องแบกข้าวสารคนละกิโล มาม่า ปลากระป๋อง ไว้ในเป๋ทหารแท้ๆที่มีเหล็กดามไว้ แบกมันขึ้นขาไป ทุกคนไม่เคยบ่นว่าคนนั้นทำไมไม่ช่วยคนนี้ แต่ทุกคนต่างรับผิดชอบและช่วยกันผยุงจนถึงชายแดนแห่งนั้น พวกเราทำด้วยใจ เดินทางไปกลับและสร้างโรงเรียน(สร้างโรงอาหาร)ใช้เวลา10วันเต็มๆด้วยกัน พอเราทำเราก็สุขใจ หนูไม่เคยโทดว่าเพื่อนในกลุ่มหนูทำไมไม่มาด้วยกัน (กลุ่มตอนเรียนมอปลายนะค่ะ ทำตอนมอปลาย) แต่นี้งานส่วนรวม ทำด้วยใจ เราทำ เราได้ เราสุขใจ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่หรอค่ะที่เรียกว่าทำเพื่อคนส่วนรวมโดยแท้จริง ดังนั้นแล้วถ้าแค่ค่ายดูแลน้องแค่นี้ว่ามันเหนื่อยมันหนัก หนูพูดได้เลยว่าไม่ถึง1ใน100ที่หนูทำมาค่ะ ดังนั้นหนูพูดกับเค้าไปว่าถ้าการที่หนูไม่ได้ไปช่วยงานเพื่อน(หนูเหนว่าเพื่อนๆเค้าทำกันได้นะค่ะเพราะทุกคนรู้งานหมด แต่งานที่หนูทำแทบไม่ต้องไปก็ได้)มันทำให้เพื่อนรู้สึกแย่มากจนไม่อยากเป็นเพื่อนกับหนู หนูยอมออกจากกลุ่ม หนูคิดว่าเพื่อนในตอนนี้เทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนมัธยมที่หนูมีอยู่ หนูไม่ได้ว่าเลยถ้าเค้าจะเสียใจ หรือต่อว่าที่หนูไม่ได้ไปช่วยงาน ถ้าจะว่าหนูเห็นแก่ตัวหนูยอมรับ แต่หนูบอกเค้าไปว่าหนูอ่ะเป็นเพื่อนพวกเค้าเสมอ แต่ถ้าพวกเค้ารับไม่ได้ที่หนูเห็นแก่ตัว ปล่อยให้เพื่อนเหนื่อย หนูก็ยอมค่ะ
อาจารย์ค่ะ หนูผิดมากเลยใช่ไหมค่ะ หนูควรต้องไปขอโทดพวกเค้าเรียงคนเลยไหมค่ะ หนูเห็นแก่ตัวเรื่องกิจกกรมส่วนรวมใช่ไหมค่ะ หนูเสียความรู้สึกจิงๆค่ะ แทบจะเสียน้ำตาเลยก็ว่าได้ หนูเป็นคนอ่อนไหวมากๆกับเพื่อน หนูให้เพื่อนเต็ม100นะค่ะ แต่เพื่อนไม่เคยแฟร์กะหนูเลย แต่ถ้ามีเพื่อน 100 คน หนูขอแค่ 1คน ที่เข้าใจหนู แค่นี้หนูก้พอใจแล้วค่ะ อาจารย์ค่ะเรื่องสำคัญก็คือ หนูขอบคุณอาจารย์มากเลยนะค่ะที่ทำให้หนูไม่ติดโปร หนูได้ 2.00 พอดีเลยค่ะ เกรดรวมได้ 2.01 ปีสองมันต้องดีกว่านี้แน่ๆค่ะ หนูเริ่มรู้แล้วว่าเราต้องเรียนแบบไหนถึงจะอยู่รอด หนูจะพยายามค่ะ อาจารย์ขาหนูชอบเรียนอิ้งกะอาจารย์มากๆเลยค่ะ มันไม่ต้องเกร็งมาก สบายๆ ทุกครั้งที่มีคาบเรียนมันเหมือนเ็นเรื่องตื่นต้น ว่าจะเจอเรื่องอะไรน๊าวันนี้ ที่สำคัญได้ฝึกทักษะตัวเองด้วย ถ้าอาจารย์อยู่กลุ่มไหนมาบอกด้วยนะค่ะ หนูจาตามไปเรียนด้วยคนค่ะ หุๆๆๆ คิดถึงอาจารย์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยนะค่ะ สงการนต์ไปเที่ยวไหนค่ะ หนูว่าจะลงใต้กะครอบครัวอ่ะค่ะ สุขสันต์วันสงกรานต์นะค่ะ


ป.ล. อาจารย์ขา เรื่องของหนูดูไร้สาระไหมค่ะ ถ้าใช่ ขอโทดที่รบกวนนะค่ะ คือหนูเปนคนคิดมากอ่ะค่ะ ^^"

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

My reflecting about LNG102

First, I have more friends. I have developed skills in listening, reading and question - answer. I like the teachers have to play games with friends in the room. It resulted in the word "friendship" in our classrooms.
Second, I love to watch "X-Factor" It makes me feel relaxed. I have enjoyed every moment at school "LNG102". If I still feel bad because some friends who do not behave well with our teachers. Third, I love all activities, because it is fun and development. yourself. One activity that I would not like a "Quiz". Additionally, I have enjoyed every event. Lastly, I feel that a Blog is a practice of English skills. I love English and will try to do it best. I'd like to thank my teachers to help develop English skills. And I look forward to learning with teachers who LNG103 again. ^^

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

my valentin's day ^^

This's a wonderfull day. I received a gift from my boyfriend. Coupled with a teddy bear and red roses. I feel very happy. And I don't forget to give gifts to him and my friends. ^^

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Prepar for presentation.

I am very excited for Wednesday to come. I don't sure that I can do it better but I need to do it heartily. Before this I think that when I do the work hard can make a good work. I think wrong because my work out bad. Now I start to do the work not strain. And I think I can do it better. Do u think same me?

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ วันนี้เราจึงมีเคล้ดลับมาดีมาฝากไปดูกานเลยจ้า^^

เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น


2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม

ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป



3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า



4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)


5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป


6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน


รู้แล้วก็อย่าลืมรักษาสายตาของตัวเองด้วยนะค่ะ สายตาเป้นสิ่งสำคัยในชีวิตนะค่ะ ^^

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

Ohh!! I forget it ^^

Today I feel very bad. I've lost my book friends. I try to find around the room and then not met.I remember that my friends do not take it.I asked another friend as you have no one to pick.I feel uneasy. And try to call my friend asked that she be taken your book? But she would not accept.I try to find it again, but not found.I feel very bad now.I decided to call my friend who owns the book again. Her answer. Then I asked her whether she has taken back some of the book.She say "Yes".I feel like I raised the rock mass from the chest ever. Ohh!! I forget it realy.

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

The wound from CPE Game !!!

Today I came to CPE Game event it homespun not many formalities.
Everyone involved in this event all together.When the ceremony finished. It started with the competition. Volleyball men, women, mixed. To compete with the men's basketball, women. I am against women basketball. And has been wound a little from the competition. Then there are other competitive, respectively. And work to finish off with a simple ceremony.
Thus getting to know some members in the department. Closely with teachers and many people. And many senior people. It is worthwhile to have a wound. Because it allows us to learn new things near us.
For this next year, hope all athletes would not play violent Jacobsen again.